Bravely Default 2
บราเวลี่ ดีฟอลต์ 2
บทสรุปเกม
WALKTHROUGH
Bravely Default 2 - บทที่ 2 ในสวนแห่งเวทมนตร์และความบ้าคลั่ง
Bravely Default 2
กลอเรียและคณะเดินทางไปยังเมืองวิสวอลด์ ระหว่างทางพบต้นไม้ที่ขึ้นรกครึ้มกว่าเดิมมาก นี่คือสัญญาณว่าศิลาปฐพีอยู่ไม่ไกล และเมื่อมาถึงเมืองวิสวอลด์ก็พบว่าบัดนี้ต้นไม้ใหญ่ขึ้นเต็มเมืองไปหมด บนยอดหอคอยสูงกลางเมือง ทุกคนพบแสงสว่างอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของคริสตัล
เอลวิสพาทุกคนไปที่หอคอย หน้าประตูยืนขวางไว้ด้วยหนุ่มแว่นร่างยักษ์ในชุดเกราะใหญ่โตดุจปราการ เอลวิสเข้าไปทักทายทันทีเพราะนี่คือกาลาฮัดสหายของเขา แต่เมื่อเอลวิสกล่าวถึงการเข้าไปในหอคอย จู่ๆทีท่าของกาลาฮัดก็แปลกไป มีไอพลังสีดำปรากฏขึ้นรอบตัวเขา และเขาก็เข้าโจมตีเอลวิสทันที เงาอสูรแปลกประหลาดปรากฏขึ้นด้านหลังกาลาฮัด และนั่นทำให้ไม่มีสิ่งใดทะลวงการป้องกันของกาลาฮัดไปได้ พวกเอลวิสโจมตีอยู่นานก็ไม่เป็นผลจึงยอมแพ้ถอยมาตั้งหลัก เอลวิสแปลกใจในท่าทีผิดปกติของกาลาฮัดอย่างยิ่ง และเมื่อเข้าทางประตูหน้าไม่ได้ เอลวิสจึงเสนอให้ไปที่สถาบันวิจัยเวทมนตร์ซึ่งหัวหน้าที่นั่นเป็นสหายของเอลวิส เผื่อจะได้รู้ข้อมูลความเปลี่ยนแปลงของเมืองนี้
เอลวิสพาทุกคนมาพบกับรอดดี้ หัวหน้าศูนย์วิจัยซึ่งเป็นสหายของเขา ทุกคนคุยกันด้วยดีจนกระทั่งเอลวิสเอ่ยถึงหอคอย เมื่อนั้นไอพลังสีดำก็ปรากฏขึ้นรอบตัวรอดดี้เหมือนกับกาลาฮัด ท่าทีของรอดดี้เปลี่ยนไปทันทีและขับไล่เอลวิสกับพวกออกมา เอลวิสจึงพาทุกคนไปหาลิลี่ ภรรยาของรอดดี้ แต่เมื่อกล่าวถึงรอดดี้กลับพบว่าลิลี่นั้นแยกทางกับรอดดี้แล้ว ตอนนี้ลิลี่แยกออกมาอยู่กับลูกเพียงลำพัง เอลวิสถามข้อมูลจากเจ้าของร้านแถวๆนั้นจึงพบว่าเกิดอุบัติเหตุบางอย่างที่ศูยย์วิจัย และโมน่า ลูกสาวของรอดดี้และลิลี่ก็เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ด้วยวัยเพียงสิบขวบ นั่นทำให้รอดดี้และลิลี่ต่างโทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง และนานไปก็ต่างโทษว่าเป็นความผิดของอีกฝ่าย แต่ก็ทำให้เอลวิสสงสัยเพราะเมื่อสักครู่ลิลี่เพิ่งกล่าวว่านางอยู่กับลูกสาว แต่เจ้าของร้านก็ไม่รู้และไม่มีความกล้าที่จะถาม นอกเสียจากว่าจะมีใครไปที่บ้านลิลี่ซึ่งอยู่ในป่าตอนเหนือของเมืองจึงจะรู้คำตอบ
บัดนี้มีสองทางเลือกคือจะเลือกไปพบรอดดี้ในศูนย์วิจัยอีกครั้ง หรือไปพบลิลี่ที่ป่านอกเมือง เอลวิสตัดสินใจไปพบรอดดี้ก่อน แต่ประตูทางเข้าศูนย์วิจัยบัดนี้ลงกลอนแน่นหนา เอลวิสเสนอทางลอบเข้าไปในศูนย์วิจัยผ่านทางระบายน้ำที่เขาเคยใช้ตอนเป็นนักศึกษา มันสามารถเชื่อมโยงระหว่างเมืองกับศูนย์วิจัยได้ แต่นั่นก็ต้องผ่านแหล่งน้ำโสโครกและสัตว์อสูรที่หนีรอดจากศูนย์วิจัยแล้วใช้ทางระบายน้ำเป็นแหล่งกบดาน ทุกคนเดินทางจนสามารถเข้ามาด้านในศูนย์วิจัยได้สำเร็จ และเมื่อเข้าไปถึงห้องวิจัยลับที่อยู่ลึกสุดก็พบรอดดี้ที่กำลังบ้าคลั่ง เขาพร่ำเพ้อถึงการชุบชีวิตลูกสาวต่อหน้ารูปภาพประหลาดน่าสะพรึง แต่ที่ชวนสะพรึงยิ่งกว่าคือรูปภาพประหลาดที่ดูคล้ายเด็กผู้หญิงนั้นกลับมีแสงสว่างสองจุดปรากฏดุจดวงตามาร รูปภาพนั้นกลับสามารถพูดโต้ตอบได้ และนั่นทำให้รอดดี้ที่กำลังคลั่งเข้ามาโจมตีใส่เราทันที
รอดดี้ซึ่งบัดนี้เป็นผู้ถือครองศิลาแอสเทอริสก์จอมเวทย์แดง พร้อมด้วยวิญญาณประหลาดเข้ามาโจมตีเราเหมือนตอนสู้กับกาลาฮัดไม่มีผิดเพี้ยน จนเมื่อเราสามารถเอาชนะรอดดี้และชิงเอาศิลาแอสเทอริสก์มาได้ รอดดี้ก็กลับคืนสติและประหลาดใจที่เห็นเอลวิส เขาจำสิ่งใดไม่ได้แม้แต่น้อย เมื่อเอลวิสเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง เขาก็ขอโทษขอโพยทุกคนยกใหญ่ เขาพยายามททวนความทรงจำและพบว่า ทุกอย่างเริ่มต้นจากรูปวาดประหลาดที่เขาได้รับมาหลังการเสียชีวิตของลูกสาว ซึ่งมาพร้อมศิลาแอสเทอริสก์ ทว่าเขาจำไม่ได้เลยว่าผู้ใดเป็นคนมอบให้
และเมื่อทุกคนเล่าว่าลิลี่อาจเชื่อว่านางยังอยู่กับลูกสาว รอดดี้ก็ตกใจเพราะเขามั่นใจว่าลูกสาวได้เสียชีวิตไปแล้วแน่ๆ รอดดี้จึงขอร่วมทางไปกับทุกคนเพื่อไปพบลิลี่ให้รู้ความจริง
เมื่อมาถึงทางเข้าป่าก็พบพรานผู้หนึ่งที่เตือนว่าอย่าได้เข้าไปลึกมิเช่นนั้นผู้อยู่ในนี้จะยิงเอา รอดดี้และเอลวิสแปลกใจเพราะเท่าที่จำได้ ลิลี่ไม่เคยฝึกยิงธนูมาก่อน ทุกคนจึงเชื่อว่านี่คือพลังของศิลาแอสเทอริสก์เป็นแน่ เมื่อเข้าไปด้านในสุดของป่าวงกตก็พบลิลี่ง้างสายธนูห้ามทุกคนเข้าใกล้เพราะลูกสาวนางกำลังหลับอยู่ รอดดี้พยายามอธิบายว่าที่อยู่ด้วยกันกับลิลี่ตอนนี้ไม่ใช่ลูกสาวของพวกเขาอย่างแน่นอน จู่ๆลิลี่ก็บอกว่าได้ยินเสียงลูกแล้ววิ่งกลับไปด้านหลัง ทุกคนตามไปจนพบโมน่า ลูกสาวของลิลี่กับรอดดี้...
ถ้าจะพูดให้ถูก นี่คือตุ๊กตาไม้ที่ลิลี่เชื่อว่าเป็นโมน่า ลิลี่พูดคุยกับตุ๊กตาเป็นเรื่องเป็นราว ทว่ากลับมีเสียงเด็กตอบกลับมา เป็นเสียงจากภาพวาดแบบเดียวกับครั้งที่ทุกคนเจอตอนรอดดี้ เมื่อภาพวาดอาถรรพ์พูดขึ้น ก็มีแสงสีแดงดุจดวงตาทั้งสองปรากฏบนภาพ นั่นทำให้ลิลี่ซึ่งบัดนี้เป็นผู้ถือครองศิลาแอสเทอริสก์เรนเจอร์เกิดคลั่งขึ้นมาและโจมตีใส่ทุกคน
และเมื่อสยบลิลี่ลงได้ นางได้สติคืนมาอีกครั้งในที่สุด ลิลี่เล่าว่าเมื่อตอนที่โมน่าเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ ไม่นานรอดดี้ก็ทำตัวแปลกไป เขาไม่กลับบ้านและเอาแต่อยู่ในศูนย์วิจัย ลิลี่เป็นห่วงจึงตามเขาไปที่นั่น และหลังจากนั้น...ลิลี่ก็จำสิ่งใดไม่ได้อีก ภาพวาดนั้น และศิลาแอสเทอริสก์ ทั้งรอดดี้และลิลี่จำไม่ได้เลยว่าได้มาจากผู้ใด รอดดี้ยังกล่าวอีกว่าเขาจำไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงได้นำศิลาก้อนนั้นไปไว้บนหอคอย กลอเรียจึงหยิบศิลาวารีมาให้ดูและรอดดี้ก็จำได้ว่าแม้สีจะต่างกัน แต่ขนาดและรูปร่างเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน...แน่นอนแล้วว่า ศิลาปฐพีอยู่บนหอคอยกลางเมืองนี้อย่างแน่นอน
ต้องมีใครบางคนบงการอยู่เบื้องหลังในการควบคุมพวกเขา รวมถึงกาลาฮัดด้วยเช่นกัน รอดดี้โกรธแค้นมากและสาบานว่าจะตามหามันผู้นั้นและทำให้มันต้องรู้สึกเสียใจที่ได้เกิดมา
ทุกคนกลับมาที่หอคอยกลางเมืองซึ่งบัดนี้ไม่พบกาลาฮัดยืนขวางหน้าทางเข้าเช่นเคย ทุกคนอาศัยโอกาสนี้บุกตะลุยไปจนถึงชั้นบนสุด ที่นั่นกาลาฮัดยืนรอทุกคนอยู่พร้อมด้วยภาพวาดอาถรรพ์ เช่นเคยเมื่อภาพวาดอาถรรพ์นั้นปลุกเร้า กาลาฮัดก็คลั่งและโจมตีใส่ทุกคน ด้วยศิลาแอสเทอริสก์ Shieldmaster (ปรมาจารย์โล่) ทำให้เขาแข็งแกร่งยากจะโจมตีได้ แต่ในที่สุดทุกคนก็ปราบกาลาฮัดลงได้
หลังจากสูญเสียศิลาแอสเทอริสก์ กาลาฮัดก็หมดสติไป รอดดี้และลิลี่อาสาดูแลกาลาฮัดและให้พวกเซธเข้าไปชั้นบน ตรงกลางห้องมีศิลาปฐพีตั้งตระหง่าน เซธรีบเข้าไปหมายจะหยิบ ทว่าศิลาปฐพีกลับละลายลงคามือ เซธติดพิษในทันที นี่เป็นกับดักที่มีคนจงใจวางเอาไว้ ระหว่างที่ทุกคนกำลังค้นหาเงื่อนงำต่อไป ฉับพลันคัมภีร์ของเอลวิสก็เปล่งแสงขึ้น ปรากฏนิมิตย้อนอดีตของกาลาฮัดที่กำลังเศร้าโศกต่อการตายของโมน่า เขาอยู่ในเหตุการณ์อุบัติเหตุวันนั้นแต่ไม่สามารถช่วยเหลือโมน่าได้ทัน กาลาฮัดจึงโทษว่าเป็นความผิดของตนนับแต่นั้น แต่แล้ววันหนึ่งก็มีเด็กหญิงปริศนาในชุดศิลปินวาดภาพได้มอบรูปวาดอาถรรพ์และบอกว่าสิ่งนี้จะช่วยเยียวยาจิตใจของเขาได้ และภาพวาดอาถรรพ์นั้นจึงล้างสมองสั่งการให้กาลาฮัดเฝ้าปกปักษ์หน้าหอคอยนับแต่นั้น
รอดดี้และลิลี่มั่นใจว่าเด็กหญิงผู้นี้ต้องเป็นผู้อยู่เบื้องหลังหายนะทั้งหมด และเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเด็กหญิงก็เป็นผู้ที่ถือครองศิลาแอสเทอริสก์ด้วย เมื่อได้เบาะแสทุกคนจึงออกค้นหาไปทั่วเมืองและพบภาพวาดประหลาดกระจายอยู่ทั่ว และเมื่อลบภาพวาดประหลาดภาพสุดท้ายก็พบว่ามันซ่อนประตูลับไว้บานหนึ่ง ประตูทอดยาวพาดผ่านต้นไม้ใหญ่ไปสู่ถ้ำแห่งหนึ่งซึ่งถูกใช้เป็น "สตูดิโอลับ"
ถ้ำแห่งนี้ไม่กว้างมากนัก แต่ระหว่างทางก็พบภาพประหลาดตามผนังถ้ำซึ่งมีข้อความบอกเล่าเรื่องราวชีวิตวัยเด็กของคนผู้หนึ่ง ว่าเกิดมาในครอบครัวมั่งมีแต่ไม่มีความสุขเพราะพ่อแม่ไม่มีเวลาให้ คนผู้นี้เกลียดชังพ่อแม่ที่ไม่มีเวลา และเกลียดชังคนทั้งโลกที่ไม่สนใจตน แต่ก็ได้พบพรสวรรค์ทางศิลปะ ทว่าก็ยังไม่มีผู้ใดสนใจมองเห็น จนกระทั่งวันหนึ่งที่คนผู้นี้ได้รับศิลาแอสเทอริสก์จากนักเดินทางสาวผู้ลึกลับ นั่นจึงทำให้คนผู้นี้มีพลังในการควบคุมผู้คนผ่านภาพวาด
ทุกคนเริ่มสงสัยถึงที่มาของสีในการวาดภาพ แม่สีมีน้ำเงิน เหลือง แดง สีน้ำเงินนี้ได้มาจากรอดดี้ที่ถูกสะกดจิตให้ผลิตในศูนย์วิจัยเวทมนตร์ สีเหลืองนั้นได้มาจากยางไม้ของป่าตอนเหนือที่ลิลี่ถูกสะกดจิตให้อาศัยอยู่ ทว่าสีแดงเล่ามีที่มาจากแห่งใด?
ไม่นานนักทุกคนก็ได้รับคำตอบ เมื่อเดินทางเข้าเบื้องลึกของถ้ำทุกคนก็เห็นสวนดอกไม้สีแดงสดอยู่แต่ไกล ทว่าเมื่อเข้าไปใกล้ขึ้น แท้จริงแล้วสีแดงเหล่านี้มิใช่ดอกไม้ แต่เป็นกองซากศพชาวเมืองวิสวอลด์จำนวนมาก ทุกศพถูกปาดคออย่างโหดเหี้ยมและนำมาทิ้งไว้ที่นี่ ต้นกำเนิดสีแดงมาจากเลือดของศพเหล่านี้เอง
ทุกคนพาความรู้สึกอันหดหู่เข้ามาจนถึงด้านในสุดของถ้ำ ที่นี่พบเด็กหญิงผู้หนึ่งกำลังวาดภาพบนผนังถ้ำอย่างสบายอารมณ์ ด้านข้างมีศิลาปฐพีวางอยู่ เด็กสาวผู้นี้หันมาทักทายทุกคน แนะนำตัวว่าชื่อโฟลี่ รอดดี้ไม่สนใจท่าทีอันเฉยเมยนี้และถามทันทีว่าโฟลี่สะกดจิตพวกตนและฆ่าคนมากมายด้วยเหตุใด
"เพื่องานศิลปะน่ะสิ"
เหตุผลทั้งหมดของโฟลี่นั้นโหดเหี้ยมเกินจินตนาการ ที่แท้เมื่อโฟลี่ได้รับศิลาแอสเทอริสก์ เด็กหญิงก็เข้าร่วมกับกลุ่มโจรที่ไปขโมยคริสตัลจากเมืองมิวซ่าและนำศิลาปฐพีมาเพียงเพื่อต้องการต้นไม้ไว้ใช้ผลิตสีเหลือง และโฟลี่เองที่เป็นคนสังหารโมน่า บุตรสาวของรอดดี้และลิลี่โดยใช้พลังของตนแสร้งทำว่าเป็นอุบัติเหตุ ทั้งหมดนี้เพียงเพื่อต้องการสะกดจิตรอดดี้ให้ผลิตสีน้ำเงินให้ตนเอง
ความหายนะของเมืองวิสวอลด์และการตายของโมน่ารวมถึงชาวเมืองหลายคน ทั้งหมดนี้เพียงเพราะเด็กหญิงผู้นี้ต้องการสีมาใช้สำหรับงานศิลปะเท่านั้น!!
เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด รอดดี้และลิลี่ถึงกับทรุดลงร้องไห้ คนทั้งหมดต่างโกรธแค้น มีเพียงผู้เดียวที่นิ่งสงบ สงบยิ่งกว่าปกตินัก
"มีคนกล่าวว่า ความโกรธเกรี้ยวถึงจุดสูงสุดจะทำให้คนผู้หนึ่งสงบได้อย่างประหลาด" เอลวิสกล่าว บัดนี้เอลวิสโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุดแล้ว และนั่นก็ไปกระตุ้นพลังของศิลาปฐพีขึ้นมา
เอลวิสเข้าสู่นิมิตของคริสตัล แต่เพื่อช่วยสหาย เอลวิสก็ไม่ลังเลในเส้นทางนี้ เขาได้กลายเป็นผู้กล้าแห่งแสงคนต่อไป เมื่อกลับมาโลกปกติเอลวิสก็นำทุกคนเข้าต่อสู้กับโฟลี่ ศิลปินผู้บิดเบี้ยว
เมื่อเอาชนะได้แล้ว ถ้ำแห่งนี้ก็ส่งสัญญาณว่าจะถล่มลงมา เซธเห็นเงาของเด็กหญิงคนหนึ่งจึงวิ่งตามไปทางนั้น คนอื่นๆก็รีบตามจนหนีออกมาจากที่แห่งนี้ (โดยไม่ลืมหยิบศิลาปฐพีไปด้วย) ส่วนโฟลี่นั้น นางไม่อาจทอดทิ้งผลงานมาสเตอร์พีซของตนบนผนังถ้ำนี้ได้ จึงยังคงยืนอยู่ตรงนั้นกระทั่งหินได้ถล่มลงมา...
เมื่อจบเรื่องราวทั้งหมดทุกคนก็กลับมาที่เมืองวิสวอลด์ รอดดี้ขอบคุณทุกคนอีกครั้งพร้อมกับมอบแหวน "แนตเตอร์ริง" ซึ่งสามารถคุยกันผ่านทางไกลได้
ก่อนหน้านี้โฟลี่ได้กล่าวถึงเมืองไรม์ดาล ซึ่งนี่ก็จะเป็นจุดหมายของคณะผู้กล้าแห่งแสงที่ต่อไป แต่ก็ต้องผ่านป่ามายาที่อบอวลไปด้วยหมอกหนาซึ่งจะพาเราหลงกลับมาทางเดิม และในที่สุดก็ผ่านหนึ่งในดันเจี้ยนที่ชวนท้อแท้ที่สุดไปได้
ปลายทางข้างหน้า จักพาเหล่าผู้กล้าแห่งแสงไปพบสิ่งใด ผู้ถือครองศิลาแอสเทอริสก์ผู้ใดอีกเล่าที่ขวางทางอยู่ และสตรีนักเดินทางปริศนาที่อยู่เบื้องหลังหายนะทั้งหมดคือผู้ใดกันแน่?
โปรดติดตามตอนต่อไป
-- จบบทที่ 2 --