Bravely Default 2
บราเวลี่ ดีฟอลต์ 2
บทสรุปเกม
WALKTHROUGH
Bravely Default 2 - บทที่ 6 กรงคู่
Bravely Default 2
อเดลพาทุกคนกลับมายังป่ามายา ที่นี่เองที่ซ่อนไว้ด้วยเมืองแห่งแฟรี่ แต่ด้วยป่ามายาที่มีแต่หมอกชวนหลงทางและบาเรียเวทย์ที่ป้องกันผู้บุกรุกทำให้ไม่เคยมีมนุษย์ผู้ใดค้นพบทางเข้าสู่เมืองแฟรี่มาก่อน อเดลพาทกคนมายังพื้นที่รกทึบด้านในของป่า นางเรียกหาเพื่อนแฟรี่ให้เปิดทาง ทว่าเสียที่ตอบกลับมามีแต่การก่นด่าขับไล่ที่อเดลพามนุษย์มายังที่แห่งนี้
อเดลรีบอธิบายว่านางมาเพราะผนึกมารผสานราตรีกำลังจะคลายออก เมื่อได้ยินดังนั้นก็มีเสียงหนึ่งที่คาดว่าน่าจะเป็นหัวหน้าของแฟรี่นาม "ท่านหญิงเอสเมอรัลดา" สั่งการให้เปิดทางและให้ทุกคนเข้ามายังเมือง "แม็กเมล" เมืองแห่งแฟรี่ได้ในที่สุด
เมื่อเหล่าชาวแฟรี่พบเห็นมนุษย์ก็แตกตื่นหนีกันทันที อเดลอธิบายว่าแฟรี่ส่วนใหญ่นั้นไม่เคยพบมนุษย์มาก่อน อเดลยังอธิบายว่าชาวแฟรี่นั้นไม่มีเพศชายเพศหญิง แฟรี่เกิดมาจากดอกไม้แต่ก็มีรูปลักษณ์เหมือนมนุษย์เพศหญิง แฟรี่นั้มีอายุยืนยาวกว่ามนุษย์มาก และยังสามารถมองเห็นสีที่มนุษย์ไม่อาจเห็นได้อีกด้วย
อเดลพาทุกคนมาพบท่านหญิงเอสเมอรัลดาผู้ซึ่งทำหน้าที่ดูแลเมืองแห่งนี้แทนราชินีแฟรี่ที่ไม่อยู่ อเดลเล่าเรื่องที่เอ็ดน่าน้องสาวของนางพยายามเปิดผนึกมารผสานราตรีเพื่อทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์ เอสเมอรัลดาขอดูศิลาแอสเทอริสก์ที่ทุกคนรวบรวมมาแต่พบว่ามันยังขาดไปชิ้นหนึ่ง เอสเมอรัลดายินยอมที่จะให้การช่วยเหลือในเรื่องนี้ ทว่านางไม่อนุญาตให้มีมนุษย์เข้าร่วมด้วย อเดลพยายอธิบายว่าเพื่อนของนางคือผู้ได้รับพรแห่งคริสตัล มิใช่มนุษย์ธรรมดา แต่เอสเมอรัลดายังยืนยันคำเดิมว่าแฟรี่กับมนุษย์นั้นแตกต่างกันเกินไป ไม่อาจปรองดองกันได้
แต่แล้วจู่ๆเอลวิสก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เขากล่าวว่ามนุษย์กับแฟรี่นั้นต่างกันอย่างไร เขาอยู่กับอเดลก็เห็นนางสุข ทุกข์ เศร้า โกรธ เหมือนกับมนุษย์ทุกประการ ที่แตกต่างก็เห็นจะมีแค่ปีกที่หลังเท่านั้น ถ้าคิดว่ามนุษย์กับแฟรี่เข้ากันไม่ได้งั้นท่านมานั่งดื่มกับข้าสักหน่อยมั้ยล่ะ เอสเมอรัลดาฟังดังนั้นก็หัวเราะออกมาแล้วในที่สุดนางก็ยอมต้อนรับทุกคนด้วยดี
หลังมื้อต้อนรับมื้อใหญ่ทุกคนก็ออกมาด้านนอก เอลวิสถึงกับปวดหัวที่เจอคู่ดวลเหล้าอันสมน้ำสมเนื้อ อเดลขอบคุณที่เอลวิสกล่าวว่าเรานั้นไม่มีอะไรแตกต่างกัน แท้จริงแล้วนางกังวลตลอดการเดินทางว่าถ้าความจริงเรื่องที่นางเป็นแฟรี่ถูกเปิดเผยทุกคนจะมีปฏิกิริยาต่อนางเปลี่ยนแปลงไป แต่ก็คงเพราะเอลวิสเป็นคนเพี้ยนๆอยู่แล้วละมั้ง...หลังคุยกันจบทุกคนก็แยกย้ายกันพักผ่อน
รุ่งเช้าทุกคนกลับมาพบท่านหญิงเอสเมอรัลดาอีกครั้ง เอสเมอรัลดาเล่าว่าเมื่อหลายศตวรรษก่อนสตรีมนุษย์ผู้หนึ่งได้มาที่เมืองแม็กเมลแห่งนี้ซึ่งชาวแฟรี่ก็ต้อนรับด้วยดี ทว่าสตรีมนุษย์ผู้นั้นกลับละเมิดกฏศักดิ์สิทธิ์ ขโมยเอาสมบัติสำคัญของชาวแฟรี่คือภูมิปัญญาความรู้และความทรงจำ สตรีนั้นได้สวาปามเอาความรู้ต้องห้ามและกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพลังอันชั่วร้ายเกินขอบเขต...มารผสานราตรีนั่นเอง นับแต่นั้นเป็นต้นมามนุษย์จึงถูกห้ามเข้ามายังเมืองแม็กเมลโดยเด็ดขาด ทว่าบัดนี้มารผสานราตรีกำลังจะตื่นขึ้นมาอีกครั้งซึ่งก็สร้างภัยคุกคามทั้งกับชาวมนุษย์และชาวแฟรี่ ทุกคนต้องหยุดยั้งให้ได้ด้วยพลังทั้งหมดที่มี เอสเมอรัลดากล่าวว่ามารผสานราตรีจะต้องไปยังน้ำพุแห่งปัญญาแน่นอนด้วยความกระหายของมัน นางจึงนัดทุกคนไปเจอที่นั่นเพื่อหยุดยั้งมัน
ทุกคนเข้ามายังพื้นที่ของน้ำพุแห่งปัญญา ที่นี่ทุกคนได้พบว่า ความทรงจำในอดีตทั้งหมดของโลกทั้งใบนั้นล้วนรวมอยู่ในที่แห่งนี้ ตลอดทางด้านในทุกคนได้พบภาพความทรงจำต่างๆที่ทั้งหมดผ่านมาด้วยกัน รวมถึงความทรงจำของผู้ถือครองศิลาแอสเทอริสก์คนอื่นๆด้วย ทุกคนเข้ามาถึงด้านล่างสุดซึ่งเอสเมอรัลดาและเหล่าแฟรี่ได้เตรียมตัวรอไว้แล้ว
เมื่อทุกคนพร้อม เอสเมอรัลดาจึงสั่งเปิดผนึกซึ่งไม่นานคลื่นมารก็ตลบอบอวบแผ่ซ่าน มารผสารราตรีค่อยๆโผล่ขึ้นมาจากความว่างเปล่า เอสเมอรัลดาสั่งให้แฟรี่ทั้งหมดถอยและฝากความหวังไว้ที่ผู้กล้าทั้งสี่
ทั้งสี่ต่อสู้กับมารผสานราตรีอย่างกล้าหาญและในที่สุดก็เอาชนะมันมาได้ ร่างมารค่อยๆสลายหายไป ทว่า...ไม่นานนัก ไอพลังมารก็กลับมารวมตัวอีกครั้ง และมารผสานราตรีก็ปรากฏตัวซึ่งครั้งนี้กลับมีพลังมากกว่าเดิม และก็เป็นเช่นนี้อีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง นับครั้งไม่ถ้วนที่เหล่าผู้กล้าทำลายร่างของมารผสานราตรี แต่ไม่นานมันก็กลับมาใหม่และแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ มารผสานราตรีหัวเราะว่าตัวมันคือภูมิปัญญา คือความทรงจำทั้งหมดของโลกใบนี้ ตราบใดที่สีดำอันไร้ก้นบึ้งยังคงอยู่ ตัวมันก็ไม่มีวันแหลกสลายและจะกลับมาอีกครั้งและอีกครั้ง
ผู้กล้าทั้งสี่เริ่มเหนื่อยล้า แม้ใจจะยังไหวแต่ร่างกายเริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ มารผสานราตรีฉวยโอกาสนี้ดูดกลืนเอาพลังของศิลาแอสเทอริสก์จากทุกคนออกมาจนผู้กล้าทั้งสี่สูญเสียพลัง เหล่าแฟรี่รอบด้านต่างล้มตายเป็นใบไม้ร่วง สุดท้ายท่านหญิงเอสเมอรัลดาก็ตัดสินใจใช้ไม้ตายสุดท้าย นางสั่งให้ผู้กล้าทั้งสี่หนีออกจากเมืองแฟรี่เพราะนางจะปิดผนึกเมืองแฟรี่ทั้งหมด นี่จะเป็นการผนึกมารผสานราตรีอีกครั้ง ทว่านับแต่นี้โลกแฟรี่และโลกมนุษย์จะถูกตัดขาดกันอย่างสิ้นเชิง ผู้กล้าทั้งสี่ปฏิเสธที่จะหนีและขอร่วมต่อสู้กับทุกคน แต่เอสเมอรัลดายังคงยืนกรานปฏิเสธ นางฝากเอลวิสให้ดูแลอเดลด้วย สุดท้ายทั้งสี่ก็ทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังและหนีออกมาจากเมืองเม็กเมลอย่างหวุดหวิด ทว่าเมื่อทุกคนออกมาจากเขตบาเรียของเมืองแม็กเมล อเดลกลับไม่ยอมออกมาด้วย นางกล่าวว่านางไม่อาจทิ้งพี่น้องชาวแฟรี่ได้ ยิ่งเหตุการณ์ทั้งหมดมีน้องสาวของนางเป็นต้นเหตุ นางยิ่งไม่อาจหนีเอาชีวิตรอดเพียงลำพัง อีกอย่างนางไม่ได้ตายเสียหน่อย แค่ไม่อาจร่วมผจญภัยกับทุกคนได้แล้ว...
อเดลบอกลาเอลวิสและทุกคน ก่อนจะค่อยๆเดินกลับเมืองแม็กเมลไป ทิ้งเอลวิสที่ยืนทุบบาเรียอย่างบ้าคลั่งไว้เบื้องหลัง แต่ทุกอย่างก็ไม่อาจย้อนกล้บคืนได้อีกแล้ว...
และเครดิตผู้จัดทำก็ค่อยๆเลื่อนขึ้นมาอีกครั้ง
อวสาน
...
..
ซะเมื่อไหร่ นี่เล่นมุขเดิมเลย เราสามารถเซฟและโหลดใหม่อีกครั้ง เพื่อเดินไปสู่ทางเลือกอีกทางหนึ่ง..
ภาพในอดีตฉายย้อนมา ศึกครั้งก่อนที่สี่ผู้กล้าแห่งแสงนำโดยก็อดริค (ปู่ของกลอเรีย) เซอร์สโลน ท่านหญิงเอ็มม่า (อาจารย์ของเอลวิส) และราชินีแฟรี่ผู้ไม่เห็นหน้า ในครั้งนั้นทั้งสี่ทุ่มพลังเต็มที่แต่ก็ไม่อาจกำจัดมารผสานราตรีที่ไม่รู้จักตายได้ สุดท้ายก็อดริคจึงเลือกสังเวยตัวเองเพื่อมอบพลังให้คริสตัลผนึกจอมมารลง
เพื่อมิให้สถานการณ์เดิมย้อนกลับและจบลงที่การสังเวยผู้ใดอีก ผู้กล้าทั้งสี่ตัดสินใจกลับมายังหลุมศพของเซอร์สโลน ที่นี่ทุกคนเข้าสู่นิมิตและได้พบกับเซอร์สโลนอีกครั้ง เขาชมเชยว่าทุกคนแข็งแกร่งขึ้นมาก เขายังกล่าวถึงการเสียสละของก็อดริค ปู่ของกลอเรียซึ่งเป็นโชคชะตาที่ไม่อาจเลี่ยงทั้งของก็อดดริค และบรรพบุรุษก่อนหน้า ทว่าก็อาจมีหนทางอื่น แต่เขาก็ขอทดสอบความกล้าของทุกคนเสียก่อน
ว่าแล้วเซอร์สโลนก็กลายร่างกลับมาเป็นวัยหนุ่มในยุคที่เขาอยู่จุดสูงสุด เมื่อทุกคนเอาชนะเขาได้ เซอร์สโลนได้กล่าวว่าเมื่อ 50 ปีก่อน ศิลาแอสเทอริสก์ชิ้นหนึ่งได้ถูกดูดไปสู่ความว่างเปล่า แต่มันมืได้หายไปไหน ผู้กล้าหาญที่แท้จริงจะรับรู้ได้ว่ามันคงอยู่ที่ใด แท้จริงแล้วมันคงอยู่มาตลอด ครึ่งหนึ่งนั้นอยู่ที่มีดประจำตัวของเซอร์สโลนที่ทิ้งไว้ให้กลอเรีย แต่อีกครึ่งหนึ่งกลับเป็นหินที่เซธได้มาตอนช่วยเหลือหญิงชราในตอนต้นเรื่อง ทั้งสองจึงนำศิลาครึ่งส่วนนี้มารวมกัน และกลายเป็นศิลาแอสเทอริสก์ชิ้นสุดท้าย "Bravebearer"
แม่จะมีคำถามในใจว่าแอสเทอริสก์อีกครึ่งไปโผล่อีกฟากของทะเลได้อย่างไร แต่คำตอบจะเป็นอย่างไรคงไม่สำคัญกระมัง...
ทุกคนกลับมายังโลกเดิม เอลวิสจึงนำแอสเทอริสก์นี้ใส่กับคัมภีร์ทันที ในที่สุดเมื่อสะสมแอสเทอริสก์ได้ครบ เอลวิสก็สามารถอ่านคัมภีร์ได้อย่างสมบูรณ์
"ข้าปรารถนาได้พบเห็นพลังของข้าคงอยู่ไปชั่วกาล
ข้าจึงออกรวบรวมศิลาแอสเทอริสก์เหล่านี้ที่มีศักยภาพแฝงเร้นอยู่ภายใน
ในบรรณารักษ์นั้น ข้าได้ผนึกความทรงจำที่บ่งบอกว่าข้าคือผู้ใด
และแอสเทอริสก์ ข้าได้เปลี่ยนสภาพมันให้เป็นคัมภีร์
ตราบที่คัมภีร์นี้ยังคงอยู่ ตราบที่ความทรงจำนี่ยังคงอยู่
ข้าจะไมมีวันหายไป
ศักยภาพของข้าจะไม่ถูกผูกมัด
และแก่นแท้ของข้าจะอยู่ใกล้ชิดกับทุกสิ่ง
ข้าคือผู้อมตะ ข้าคือความทรงจำที่ไม่มีวันตาย
ข้าเห็นทุกสิ่ง รู้ทุกอย่าง สลักทั้งหมดลงในสีดำอันนิรันดร์ และด้วยสิ่งที่ข้ากระทำ ความทรงจำทั้งหมดจะรวมเป็นหนึ่งเดียว
นับแต่นี้นามของข้าคือ....ผสานราตรี"
...
ที่แท้คัมภีร์นี้ก็คือแอสเทอริสก็มาตลอด ไม่แปลกใจว่าเหตุใดมันจึงสามารถอ่านความทรงจำของแอสเทอริสก์ชิ้นอื่นได้ แท้จริงแล้วคัมภีร์นี้เองคือ..ความทรงจำของมารผสานราตรี
ทว่าความคิดที่จะเผาทำลายคัมภีร์นี้ก็ตัดไปได้เลย เพราะเอลวิสเคย "บังเอิญ" ทำมันตกกองไฟตอนเขาจะหาเชื้อเพลิง คัมภีร์กลับไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน เชื่อว่าคงไม่สามารถทำลายคัมภีร์อย่างง่ายดายแน่นอน แต่หากไม่อาจทำลายมัน ทุกคนก็ไม่อาจกำจัดมารผสานราตรีได้
ในตอนนี้เมื่อผู้เล่นเปิดหน้าเซฟ จะมีตัวเลือกเซฟทับเกมที่คัมภีร์มาร (ซึ่งหมายถึงการลบข้อมูลเก่าและแทนที่ข้อมูลใหม่ โดยนัยคือการลบความทรงจำของมารในคัมภีร์นี้นั่นเอง) และนั่นจะเป็นการเปิดผนึกไปสู่เส้นทางสุดท้าย...
เส้นทางสู่ฉากจบที่แท้จริง!!
-- จบบทที่ 6 --