The DioField Chronicle
เดอะ ไดโอฟีลด์ โครนิเคิล
บทสรุปเกม
WALKTHROUGH
The DioField Chronicle : บทที่ 3-5 จิ้งจอกฟ้าหัวเราะ
The DioField Chronicle
จิ้งจอกฟ้าหัวเราะ
ขณะที่ดยุคเฮนเดกำลังวุ่นวายกับการเข้ายึดครองพื้นที่ตอนใต้จนไม่มีเวลาสนใจสิ่งใด อันดริอัสเสนอความคิดว่าเราควรเข้ายึดคืนท่าเรือเทกกาเรียกลับมาจากฝ่ายจักรวรรดิ นั่นจะเป็นการช่วยกลุ่มบลูฟ็อกส์และดยุคเฮนเดทวงคืนชื่อเสียงที่สูญเสียไป
ยูมาริดะ บาริอัส มือปืนสาวนักล่าค่าหัวผู้เงียบขรึมเดินทางมาร่วมกลุ่มบลูฟ็อกส์โดยการแนะนำของอันดริอัสที่เห็นแวว (เข้าร่วมแบบง่ายๆ อย่างนี้แหละ ไม่มีเรื่องราวอะไรทั้งนั้น แต่เก่งสุดๆ)
ทหารฝั่งจักรวรรดิที่มีกำลังพลประมาณ 6,000 นายสามารถต้านทานทัพหลวงของอัลเลเทนกว่า 20,000 นายไว้ได้อย่างเหนียวแน่น แต่บลูฟ็อกส์ที่มีกำลังทหารเพียง 600 นายจะใช้โอกาสที่ทัพหลักทั้งสองเข้าปะทะกันนั้น ลอบเดินเรือจากฝั่งใต้อ้อมเข้าเทียบท่าเพื่อทะลวงศัตรูจากด้านหลังและสังหารขุนศึกออสมัลโด เมื่อทัพจักรวรรดิขาดผู้นำก็จะเปิดโอกาสให้ฝั่งอัลเลเทนสามารถตีข้าศึกที่เหลือแตกพ่ายได้
ฝ่ายจักรวรรดิที่ไม่ทันตั้งตัวจากการลอบโจมตีนี้ยังคงตอบสนองได้อย่างฉับไว สะท้อนถึงความสามารถของผู้บัญชาการ บลูฟ็อกส์สังหารทัพจักรวรรดิที่ดาหน้าเข้ามาทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ออสมัลโดควบทะยานไวเวิร์นเข้าหา ด้วยจำนวนที่น้อยกว่าเกือบสิบเท่า ศึกครั้งนี้คับขันอย่างถึงที่สุด แต่แล้วบลูฟ็อกส์ก็สามารถสังหารขุนศึกออสมัลโดลงได้
เมื่อขาดผู้นำทัพ ทหารจักรวรรดิต่างระส่ำระสาย ทัพหลวงอัลเลเทนฉวยโอกาสนี้ตีชิงท่าเรือเทกกาเรียกลับมาได้เป็นผลสำเร็จ ทัพจักรวรรดิต้องหนีตายออกทางทะเลอย่างไร้ทิศทาง
ข่าวชัยชนะเหนือทัพจักรวรรดิสร้างความปีติให้แก่ชาวอัลเลเทนเป็นอย่างยิ่ง งานเฉลิมฉลองจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ กลุ่มบลูฟ็อกส์ได้รับการต้อนรับเยี่ยงวีรบุรุษ จากกลุ่มทหารรับจ้างธรรมดาๆ บัดนี้บลูฟ็อกส์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น "อัศวินแห่งสภาสูง" อย่างเป็นทางการ ชื่อเสียงของบลูฟ็อกส์และดยุคเฮนเดกลับคืนมาอีกครั้ง
แต่เมื่อสงครามภายนอกยุติ สงครามภายในก็ได้ปะทุขึ้นอีกคำรบ...
-- จบบทที่ 3 --