The DioField Chronicle
เดอะ ไดโอฟีลด์ โครนิเคิล
บทสรุปเกม
WALKTHROUGH
The DioField Chronicle : บทที่ 6-1 การตั้งชื่อให้ดอกไม้
The DioField Chronicle
การตั้งชื่อให้ดอกไม้
กว่า 200 ปีที่ราชวงศ์เชย์แธมสืบทอดเรื่อยมาจากบิดาสู่บุตร มีเพียงสายเลือดราชวงศ์ที่มี "ตราแห่งพร" เท่านั้นที่ได้สืบราชบัลลังค์ ทว่าการสิ้นพระชนม์ขององค์ชายใหญ่ไอวานการ์ซึ่งเป็นผู้สืบบัลลังค์อันถูกต้อง และการแย่งชิงบัลลังค์ระหว่างองค์ชายสองกับองค์ชายสามซึ่งต่างไม่มีตราแห่งพร สงครามการเมืองที่เกิดขึ้นทำให้อาณาจักรอัลเลเทนในขณะนี้อยู่ในภาวะแตกแยกและอ่อนแอ
หลังจากบลูฟ็อกส์พิชิตวัลตาควินลงก็ได้พบกับซากสังขารขององค์ชายสามสตาริส บลูฟ็อกส์ตัดสินใจเผาร่างองค์ชายสามไปพร้อมกับมหาวิหารฮาเลกลิน หลังจากกลับมาสู่เมืองหลวง เฟเดรทก็ได้ประกาศสถานะของตนว่าคือเลวานเธีย เชย์แธม องค์ชายลำดับที่สี่ซึ่งมีตราแห่งพรแก่สาธารณชน เหล่าชาวบ้านที่ระส่ำระสายจากการสูญเสียองค์ชายทั้งหมดต่างก็มีกำลังขวัญเพิ่มขึ้น กองกำลังบลูฟ็อกส์ก็ถูกยกสถานะเป็นกองกำลังรักษาพระองค์
แต่ขณะที่ชาวบ้านต่างรื่นเริง เหล่าสภาสูงกลับคลางแคลงใจและตั้งคำถามต่อสถานะของเฟเดรท อันดริอัสจึงคิดวิธีในการยืนยันตัวตนของเฟเดรทด้วยการเข้าหาองค์หญิงคนสุดท้องของราชวงศ์เชย์แธม องค์หญิงเฮซาเลีย เชย์แธม ซึ่งประทับอยู่ในวังหลังหนึ่งขององค์ชายวิคเตอร์ซึ่งมีเหล่าองครักษ์คุ้มกันอย่างแน่นหนา สถานะที่ถูกคุ้มกันนี้ มิสู้เรียกว่าถูกคุมขังมากกว่า
อันดริอัสเห็นซึ้งว่า หากช่วยปลดปล่อยองค์หญิงให้เป็นอิสระได้ ก็ไม่สำคัญว่าองค์หญิงจะเชื่อว่าเฟเดรทเป็นพี่ชายของตนจริงหรือตัวปลอม เพราะองค์หญิงย่อมต้องเลือกอิสรภาพอย่างแน่นอน
บลูฟ็อกส์ได้รับภารกิจขอความช่วยเหลือจากแชปเพิลแมน มิชชันนารีจากแผ่นดินใหญ่และยังเป็นนักรบไวเวิร์นมากฝีมืออีกด้วย บลูฟ็อกส์รับปากในการช่วยเหลือชาวบ้านทางฝั่งตะวันออก และแชปเพิลแมนก็ได้ตัดสินใจเข้าร่วมกลุ่มบลูฟ็อกส์ด้วยอีกคน แชปเพิลแมนผู้นี้ประวัติน่าสนใจไม่น้อย เขาเป็นคนของฝ่ายสัมพันธมิตรที่ไปเป็นสายลับอยู่ในทัพจักรวรรดิจนได้เลื่อนยศเป็นนักรบไวเวิร์น แต่ภายหลังสังหารผู้คนมากเกินไปจนรู้สึกละอายใจ และได้หันหลังเข้าสู่วิถีแห่งธรรม กลายมาเป็นนักบวชที่ขี่ไวเวิร์นสู้รบได้นิดหน่อย...เขาถูกมือสังหารติดตามซึ่งในทีแรกคาดการณ์ว่าไม่ฝ่ายจักรวรรดิก็ฝ่ายสัมพันธมิตรที่ส่งมา (เพราะแชปเพิลแมสเคยเป็นสายลับอยู่ในจักรวรรดิ และภายหลังละทิ้งหน้าที่กลายมาเป็นนักบวช) แต่กลับกลายเป็นว่า มือสังหารถส่งมาจากศาสนจักรของแผ่นดินใหญ่ที่แชปเพิลแมนสังกัดนั่นเอง ศาสนจักรเชื่อว่าแชปเพิลแมนทรยศและมาศรัทธาในลัทธิของฝั่งอัลเลเทน สุดท้ายแชปเพิลแมนก็ไม่มีที่ให้กลับและอยู่กับบลูฟ็อกส์ยาวๆไป
บลูฟ็อกส์เดินทางไปยังหอคอยบีเซลซึ่งอยู่ชายขอบระหว่างพื้นที่ตอนกลางและฝั่งตะวันตก เมื่อมาถึงก็ใช้กำลังกำจัดเหล่าซากเดนขององค์ชายวิคเตอร์ที่คุ้มกันพื้นที่นี้ เฟเดรทยังคงกังวลว่าองค์หญิงอาจจะไม่ยอมร่วมมือ แต่อันดริอัสให้กำลังใจว่าองค์หญิงต้องยอมช่วยเหลือแน่นอน
เฟเดรทและอันดริอัสเข้าพบองค์หญิงเฮซาเลีย เฟรเดรทถอดถุงมือแสดงตราแห่งพรให้องค์หญิงดูพร้อมอธิบายว่าตนคือพี่ชายที่พลัดพรากจากกันมานาน เขาต้องการให้องค์หญิงไปด้วยกันเพื่อยืนยันสถานะ และยืนยันว่าองค์หญิงสามารถออกจากหอคอยแห่งนี้และเป็นอิสระ องค์หญิงนิ่งคิดสักพักแต่ก็ยอมรับข้อเสนอโดยดี เพียงขอให้ตนหลุดพ้นจากหอคอยแห่งนี้
บลูฟ็อกส์พร้อมด้วยองค์หญิงเฮซาเลียเข้าพบเหล่าสภาสูงเพื่อยืนยันสถานะองค์ชายของเฟเดรท เมื่อมีองค์หญิงเป็นผู้ให้การยืนยันด้วยตนเองเช่นนี้ ในที่สุดสภาสูงก็ยอมรับเฟเดรทอย่างเป็นทางการ
ขณะที่สถานการณ์ภายในเริ่มคลี่คลาย ทัพจักรวรรดิที่ยึดครองท่าเรือแดกลันด์ทางตอนใต้ก็เริ่มควบคุมสถานการณ์ภายในพื้นที่ได้อย่างมั่นคง และเริ่มหันปลายดาบขึ้นเหนือสู่พื้นที่ตอนกลาง เมืองหลวงของอัลเลเทน
สงคราม กำลังจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง...